บทที่ 17 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ 2

เยว่ซินได้กล่าวย้ำกับหนิงอ้ายอีกครั้งว่าหลังจากกินโอสถปลุกพลังวิญญาณไปแล้ว หากว่าคนผู้นั้นมีการตอบสนองหรือมีพลังวิญญาณซ่อนเร้นภายในจุดตันเถียรก็จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แต่ก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะสามารถใช้ได้กี่ปราณธาตุและเป็นปราณธาตุใดบ้าง หากว่ามีบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนบรรดาลูกหลานผู้สืบสายเลือดก็จะมีโอกาสในการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จกว่าคนทั่วไปเช่นกัน

'บิดาสารเลวนั่นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณสายโจมตีระดับที่52และมีพลังปราณธาตุน้ำ ส่วนมารดาของเขาเป็นผู้ฝึกตนจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39พลังปราณธาตุไฟ ดังนั้นแล้วเเล้วปราณธาตุของเขาก็น่าจะไม่ผิดไปจากสองปราณธาตุนี้...’

หนิงอ้ายหยิบโอสถระดับสูงสำหรับปลุกพลังวิญญาณออกมา ทันทีที่กลืนเม็ดยาลงไปสัมผัสเเรกจะเป็นรสชาติออกหวานติดปลายลิ้น ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อภายในร่างกายของเด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบาสบายเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งวนอยู่ตรงหน้าอกค่อย ๆ หมุนวนออกไปจนทั่วทั้งร่างกายโดยความเร็วที่สม่ำเสมอ จากนั้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่างเกิดขึ้น

ใบหน้างดงามเริ่มบิดเบี้ยวอาการเจ็บปวดไปทุกส่วนของร่างกายจนทำให้หนิงอ้ายรู้สึกเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว สองมือบีบกำไว้แน่นปรากฎเป็นรอยเลือดซึมจากการจิกเล็บด้วยความรุนแรง ต่อให้เขาอยากจะอ้าปากกรีดร้องระบายความเจ็บปวดแค่ไหน เเต่ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เอาไว้จนท้ายที่สุดเกิดรับไหวพลันกระอักเลือดออกตรงมุมปาก ใต้ดวงตา จมูก หูเต็มไปหมดทั้งสิ้น

หนิงอ้ายรู้ตัวเลยว่าในตอนนี้ระบบประสาทสัมผัสของตนเองไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใดที่เกิดขึ้น ลมหายใจเริ่มติดขัดความรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำร่างกายรู้สึกว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนสลบไป กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง ความรู้สึกเจ็บตรงกลางอกอย่างรุนแรงจนทำให้เกือบหมดสติไป ความเจ็บปวดในครั้งสุดท้ายนั้นมันยิ่งกว่าการถูกเข็มนับพันเล่มเข้าทิ่มแทงร่างกายแบบพร้อมกันเสียอีก หนิงอ้ายพยายามตั้งสติทบทวนว่าตอนนี้กำลังทำสิ่งใดกับตัวเองใช้เวลาพักใหญ่จึงจะระงับความรู้สึกแปรปรวนดังกล่าวนี้ได้

จริงอยู่ที่ก่อนหน้าเขามีอาชีพเป็นนักฆ่าพื้นฐานชีวิตอยู่กับความเสี่ยงก็ต้องย่อมเห็นความตายหรือแม้กระทั่งก้าวผ่านความไม่กลัวตายมาแล้วทั้งนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ให้โอกาสเขาได้มาเกิดใหม่อีกครั้งเขาจึงเห็นคุณค่าของชีวิตตนมากขึ้นและถึงแม้ว่าเขาพึ่งจะทะลุมิติมาอยู่โลกใบนี้ได้เพียงหนึ่งเดือน แต่ความรักความอบอุ่นที่มารดาได้มอบให้รวมถึงความเป็นห่วงอย่างจริงใจของลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทของเขาและบ่าวรับใช้ในเรือนคนอื่น ๆ เขาสัมผัสมันได้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดและเขาก็ต้องรักษาให้ได้

‘ท่านแม่บอกว่าปกติจะใช้เวลาปลุกพลังวิญญาณกันเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม สงสัยการปลุกพลังวิญญาณในช่วงก่อนถึงขีดจำกัดอายุสิบห้าปีจึงทำให้ระยะเวลาและความเจ็บปวดมากกว่าปกติหลายเท่าตัวเช่นนี้...’

บนร่างกายของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยคราบสีดำสกปรกส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เป็นดั่งที่เยว่ซินได้บอกให้รับรู้ก่อนหน้าว่าเมื่อก้าวสู่โลกของผู้ฝึกตนแล้ว การเลื่อนระดับพลังวิญญาณในเเต่ละครั้งร่างกายจะทำการฟอกโลหิตและชำระไขกระดูกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รองรับปริมาณของระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ ความเจ็บปวดทรมานที่เกิดขึ้นตลอดหลายชั่วยามมานี้ได้ทำให้หนิงอ้ายล้มตัวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…

บทก่อนหน้า
บทถัดไป